วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

อิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศต่กการเผยแผ่พระพุทธศาสนา


อิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

 

เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นจึงออกประกาศคำสอนแก่เวนัยสัตว์ เริ่มจากการแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรกัปปวัฏนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์จนได้ดวงตาเห็นธรรมและออกบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และต่อมาพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมแก่พระยศกุลบุตรและสหาย ครั้งนั้นมีผู้เลื่อมใสออกบวชอีกจำนวน 60 รูป การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรูปของคณะสงฆ์จึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กาลเวลาได้ล่วงมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี การเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้มีการพัฒนาการไปตามยุคสมัยผ่านเครื่องมือที่มนุษย์ประดิษฐคิดค้นขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

ก่อนที่จะกล่าวต่อไปเรามาทำความเข้าใจกับคำว่า เผยแผ่ พอสังเขปดังนี้ คำว่าเผยแผ่ เช่น การเผยแผ่คำสอน เผยแผ่พระศาสนา หรือการเผยแผ่อื่นๆ โดยนัยแล้วจะมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ แหล่งกำเนิดของข้อมูล ผู้รับรู้ข้อมูล และตัวกลางที่นำพาข้อมูล การเผยแผ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการนำพาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไปสู่ผู้รับรู้ข้อมูล ในที่นี้ต้นกำเนิดข้อมูลและผู้นำพาข้อมูลอาจเป็นสิ่งเดียวกันก็เป็นได้ สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเผยแผ่คือการเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ของข้อมูลมาสู่ผู้รับรู้ข้อมูล หรือการเคลื่อนที่ของผู้รับข้อมูลมาสู่แหล่งข้อมูลก็ตาม การเผยแผ่อาจเป็นไปในรูปของการประกาศ หมายถึงการกระจายข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสู่ผู้รับรู้ข้อมูลจำนวนมากแล้วแต่ว่าใครจะรับได้ หรือการเผยแผ่แบบจำกัดกลุ่มผู้รับรู้ข้อมูล(closed group) หรือ การเผยแผ่ข้อมูลแบบตัวต่อตัว(one to one) นอกจากนี้แล้วยังสามารถจัดลักษณะของการเผยแผ่ในรูปของการสื่อสารเป็นแบบ สื่อสารทางเดียว(one way communication) หรือสื่อสารแบบสองทาง(two way communication) การเผยแผ่จะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้รับข้อมูลก็มีความสนใจในข้อมูลที่ถูกเผยแผ่ด้วย

ในครั้งพุทธกาลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะเป็นลักษณะการพูดเพื่อเผยแผ่ที่เรียกว่ามุขปาฐะ ซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ โดยพระพุทธองค์เองหรือคณะสงฆ์จะออกจาริกไปในที่ต่างๆเพื่อประกาศพระสัทธรรมด้วยพระโอษฐ์โดยไม่มีเครื่องมือช่วยใดๆ แต่การเทศนาสั่งสอนของพระพุทธองค์นับว่ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงมาก เพราะผู้ที่ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก ด้วยพระองค์เป็นสัพพัญญูทรงไว้ซึ่งพระปัญญาบารมีสูงยิ่งหาที่เปรียบมิได้ อีกทั้งทรงเลือกที่จะสอนแก่บุคคลที่ควรสอน และเลือกวิธีการสอนที่ถูกจริตของบุคคลนั้น จะเห็นว่าพุทธวิธีการสอนของพระองค์เป็นแบบเชิงรุก(Proactive) ในยุคพุทธกาลจึงมีสงฆ์สาวกบรรลุเป็นพระอรหันต์มากมาย คำสอนของพระพุทธองค์ถูกสืบทอดด้วยการท่องจำด้วยวาจา ด้วยการสาธยายทั้งโดยบุคคลคนเดียวหรือสาธยายเป็นหมู่คณะ เข่นการสาธยายพระวินัยโดยการสวดปาฎิโมกข์ ซึ่งยังคงสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ต่อมาหลังพุทธเมื่อมนุษย์รู้วิธีการจารึกตัวอักษรลงบนวัสดุ เช่นใบลาน จึงได้มีการจารึกพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ลงบนใบลานด้วยภาษาดั่งเดิมของพระพุทธศาสนาคือภาษาบาลีหรือภาษามคธ ซึ่งเป็นการยากที่คนทั่วไปที่ไม่รู้ภาษาจะสามารถเข้าใจได้จึงจำกัดอยู่เฉพาะหมู่นักปราชญ์ผู้มีความรู้ในภาษาที่จารึกเท่านั้น ข้อดีของการจารึกพระธรรมวินัยลงบนใบลานทำให้เกิดการเผยแผ่พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และมีการอัญเชิญพระสัทธรรมนั้นไปเผยแผ่ในดินแดนที่ห่างไกลจากต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา โดยพระธรรมวินัยที่บันทึกลงบนใบลานเปรียบเสมือนตัวแทนของพระตถาคตดังพุทธดำรัสก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่า ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอโดยกาลล่วงไปแห่งเรา เมื่อมนุษย์พัฒนาการพิมพ์และการผลิตกระดาษขึ้น จึงมีการพิมพ์พระไตรปิฎก ออกมาในรูปของหนังสือ ที่มีทั้งเป็นภาษาดั่งเดิม และได้รับการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นที่ง่ายต่อการเข้าใจ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเผยแผ่ไปทั่วโลกได้ในรูปของหนังสือ ทำให้มีผู้ที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆทั่วโลก

เมื่อมีการค้นพบคลื่นวิทยุ ทำให้มนุษย์สามารถส่งเสียงผ่านคลื่นวิทยุ และต่อมาก็สามารถส่งทั้งภาพและเสียงผ่านสัญญาณโทรทัศน์ การเผยแผ่พระศาสนาก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งคือการออกอากาศรายการธรรมะทางวิทยุและโทรทัศน์ ด้วยวิธีนี้ธรรมะของพระพุทธเจ้าสามารถเข้าถึงมวลชนเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ซึ่งสามารถเห็นทั้งภาพได้ยินทั้งเสียง ปัจจุบันมีช่องรายการวิทยุที่ใช้เผยแพร่รายการพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะจำนวนหลายสถานี ชาวพุทธที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาสามารถเลือกฟังได้ตามอัธยาศัย ถึงแม้ว่าการสอนธรรมผ่านคลื่นวิทยุโทรทัศน์จะสามารถกระจายไปถึงผู้คนจำนวนมาก แต่ประโยชน์ก็ตกอยู่แต่เฉพาะผู้สนใจรับฟังและรับชมเท่านั้น

แล้วสังคมมนุษย์ก็ก้าวเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร ปัจจุบันวิวัฒนาการทางด้านคอมพิวเตอร์ถูกผนวกเข้ากับความก้าวหน้าของระบบสื่อสาร ข้อมูลทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ตัวอักษร เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือเรียกรวมๆว่า สื่อแบบผสม(Multimedia) สามารถถูกประมวลผลด้วยระบบประมวลผลที่ถูกพัฒนาให้มีความเร็วสูงขึ้นตลอดเวลาด้วยราคาที่ลดลง และถูกจัดเก็บด้วยระบบจัดเก็บฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกันเป็นโคร่งข่าย(net work) และสามารถสื่อสารถึงกันด้วยระบบสื่อสารความเร็วสูง อุปกรณ์ปลายทางเช่น คอมพิวเตอร์ โน็ตบุ๊ค  สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอื่นๆ สามารถเชื่อมกับโลกทั้งโลกผ่าน www(worldwide web) ข้อมูลต่างๆจึงเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร้พรมแดน  รวมทั้งอุปกรณ์ส่วนบุคคลเช่น smart phone และ  tablet  ยังสามารถสื่อสารถึงกันโดยตรง ผ่าน social media เช่น Facebook,  Line, Chat, YouTube และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เราเรียกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ ICT(Information Communication Technology) วิวัฒนาการเหล่านี้ราวกับสามารถบันดานให้คนธรรมดามีหูทิพย์ตาทิพย์โดยไม่จำเป็นต้องสำเร็จฌาณใดๆเลย จึงง่ายต่อการเสพติด ทุกวันนี้ผู้คนมากมายเสพติดข้อมูลบนโลก ออนไลน์ เด็กติดเกมส์ ผู้ใหญ่ติด สังคมออนไลน์ และข้อมูลออนไลน์ที่หลั่งไหลถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน อาจกล่าวได้ว่าสังคมมนุษย์ถูกจู่โจมด้วยข้อมูลข่าวสารอย่างไร้ขอบเขตของความเป็นส่วนตัว  มันจู่โจมเราไม่เว้นทั้งในห้องนอนและห้องน้ำ

หากพิจารณาว่าเทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไร แน่นอนเมิ่อเทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชีวิตผู้คนยุคนี้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอิททธิต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ในที่นี้จะขอพิจารณาในสองมิติคือ

1.    ในมิติของผู้สนใจใฝ่รู้พระพุทธศาสนา เทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการศึกษาค้นคว้าทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ทั้งในแง่ของการสืบค้น การอ้างอิง การกระจายข้อมูล ปัจจุบันเราสามารถสืบค้นข้อความในพระไตรปิฏก หัวข้อวิจัยต่าง รวมทั้งเรื่องที่อยากค้นคว้าหาความรู้แทบจะทุกๆเรื่องผ่านเครื่องมือสืบค้นอย่าง Google ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที มี web site ของวัด มหาวิทยาลัย และองค์การทางพุทธศาสนามากมาย ที่สามารถหาข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจทั้งดูภาพและฟังเสียง เราสามารถฟังการบรรยายธรรมจากพระอริยะสงฑ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ง่ายดายอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนผู้เขียนจินตนาการไปว่าในยุคที่สามารถเข้าถึงธรรมได้ง่ายดายเช่นนี้ น่าจะมีอริยะบุคคล และผู้บรรลุธรรมเกิดขึ้นมากกว่ายุคใดๆยกเว้นพุทธกาล อย่างไรก็ตามอะไรเมื่อมีด้านบวกก็ย่อมมีด้านลบ เช่น ความบิดเบือน การละเมิด ต่อพระพุทธศาสนาก็สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วเช่นกันในโลกออนไลน์

 

2.    ในมิติของสังคมโดยรวมที่ผู้คนมีข้อมูลให้เลือกเสพมากมายบนโลกออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้ถูกแพร่ออกมาจากทั่วโลกยากที่จะควบคุม มีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและข้อมูลที่บิดเบือน ทั้งเป็นสาระและไม่เป็นสาระ ไม่มีขอบเขตเรื่องศีลธรรม ความบันเทิงสารพัดรูปแบบรวมทั้งสื่อลามกสามารถหาดูได้ทั่วไปบนโลกออนไลน์ เราสามารถ chat กับผู้คนบน social network แบบลืมโลก เวลาและที่ว่างในจิตใจของผู้คนถูกเบียดบังจากการเสพติดข้อมูล ดังที่เราอาจเคยได้ยินคำพูดเปรียบเปรยว่าสังคมยุคนี้เป็นสังคมก้มหน้า หมายถึงต่างคนต่างก้มหน้าสนใจข้อมูลบน smart phone ของตัวเองไม่มีใครสนใจกัน ไม่อยากคาดเดาว่าผู้คนที่ก้มหน้าเหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่กำลังขมักเขม่นศึกษาพระพุทธศาสนา แต่ที่ยืนยันได้คือผู้คนยุดนี้ห่างไกลพระพุทธศาสนามากขึ้นทุกทีโดยเฉพาะเยาวชน ดังจะเห็นได้ว่ามีเยาวชนมากขึ้นเรื่อยๆที่กล้าประกาศตนว่าเป็นคนไม่มีศาสนา น่าเศร้าใจยิ่งนัก ในมุมมองของผู้เขียนในมิตินี้เห็นว่าบนโลกออนไลน์เป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความสนใจจากผู้คน ซึ่งวัดจากการกด like ประเด็นคือ ทำอย่างไรที่จะสร้าง content สอนธรรมะให้น่าสนใจ สามารถแย่ง rating จาก content บันเทิงเริงรมย์ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ ฤาจะต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว

 

บทความนี้เขียนโดย :

ชำนาญ วงศ์รัศมีเดือน

26 กันยายน 2557