วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทความพระพุทธศาสนา


ศิลปแห่งการตายในวิถีวัชรยาน

 

นายชำนาญ วงศ์รัศมีเดือน

 

บทนำ

 

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า

“ไม่มีสถานที่ใด ที่ความตายมิอาจย่างกรายไปถึง

ไม่ว่าจะเป็นในห้วงนภากาศ ในมหาสมุทร

หรือแม้แต่ในยามที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา”

          เหรียญอีกด้านหนี่งของการเกิด คือ การตาย ซึ่งแม้ทุกคนต่างรู้ดีว่า ความตายคือส่วนหนึ่งของการเกิดและการมีชีวิต สรรพสัตว์ที่เกิดมาล้วนต้องตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างไม่สามารถหลีกพ้น แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ส่วนมากก็ยังกลัวความตาย เพราะความตายคือการพลัดพราก เป็นทุกข์ จึงพยายามหลีกเหลี่ยงที่จะคิดถึงความตาย บางชนชาติการพูดถึงความตายถือเป็นเรื่องอัปมงคลที่เดียว แม้พระพุทธศาสนาจะสอนว่า มนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากวัฏสงสารยังต้องเวียนว่ายตายเกิด การตายจากภพนี้หมายถึงการถือกำเนิดในภพใหม่ จะเป็นสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ ก็แล้วแต่กรรมดีหรือกรรมชั่วของแต่ละคนที่ได้สั่งสมไว้ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกให้พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เพื่อโน้มนำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หลีกเลี่ยงกรรมชั่ว สร้างสมกรรมดี

               การที่ผู้เขียนให้ความสนใจเรื่องความตายในวิถีแห่งตรันตระยานหรือวัชรยาน ก็เพราะเห็นว่า วัชรยานได้กล่าวถึงกระบวนการตายไว้อย่างพิศดารที่ไม่มีกล่าวไว้ในเถราวาทนิกาย วัชรยานได้ กล่าวถึงกระบวนการตายอย่างชัดเจนเป็นขั้นตอน โดยเฉพาะวาระสุดท้ายก่อนดับจิตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ตายที่จะไปจุติในภพภูมิใหม่ วัชรยานเชื่อว่า ในชั่วขณะจิตสุดท้ายแห่งแสงกระจ่างหากประคองจิตอย่างถูกต้อง จิตจะได้ไปจุติในสุคติภูมิเป็นเบื้องต้น หรือที่สุด จิตสามารถบรรลุสู่ความเป็นปรมัตถ์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นการเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการตายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามซึ่งจะต้องตายในวันหนึ่ง นอกจากเรียนรู้การใคร่ครวญความตายเพื่อประโยชน์ตนแล้ว การช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตายให้ตายอย่างสงบก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย

 

 

 

 

 

ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาวัชรยาน

 

               เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจกระบวนการตายในวิถีวัชรยานได้ลึกซึ้งขึ้น จึงขอกล่าวถึงความเป็นมาของพุทธศาสนาสายวัชรยานหรือตรันตระยาน หรือที่คนทั่วไป อาจจะรู้จักในแนวพุทธศาสนาสายทิเบต พอเป็นสังเขปดังนี้

               พระพุทธศาสนานิกายที่เป็นที่รู้จักกันในโลกนี้จะแบ่งออกเป็น ๓ สายหลักหรือ ๓ นิกาย ได้แก่ พระพุทธศาสนาเถราวาท ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในประเทศศรีลังกาและแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย ถัดมาคือ พระพุทธศาสนามหายาน เจริญรุ่งเรืองในแถบเอเซียตะวันออก และพระพุทธศาสนาตรันตระยานหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัชรยานเจริญเติบโตหยั่งรากในทิเบตมาตั้งแต่โบราณจวบจนกระทั่งถูกจีนเข้ายึดครอง โดยมีท่านทะไลลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของนิกายนี้ ซึ่งท่านและเหล่าสาวกต้องอพยพลี้ภัยการเมืองอยู่ในที่ต่าง ๆ ของโลกในปัจจุบัน

               จุดกำเนิดของพุทธศาสนานิกายตรันตระยานมีอยู่ว่า หลังสิ้นพุทธกาลราวพันปี พุทธศาสนามีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายอินเดียซึ่งศรัทธาในตรันตระนิกาย และของฝ่ายจีนซึ่งศรัทธาพุทธศาสนามหายาน พระมหากษัตริย์แห่งทิเบตสมัยนั้นต้องการเลือกที่จะรับพระพุทธศาสนาแบบใดระหว่างฝ่ายอินเดียและฝ่ายจีน จึงใด้นิมนต์พระอาจารย์จากทั้งสองฝั่งมาปุฉาวิสัจชนากันปรากฎว่า พระมหากษัตริย์ศรัทธาพระพุทธศาสนาแบบของอินเดียมากว่า แต่นั้นมาจึงรับกระแสพุทธศาสนานิกายตรันตระซึ่งเป็นหลักอยู่ในภรตประเทศในเวลานั้นและปิดกั้นไม่รับกระแสพุทธแบบจีนอีก จากนั้นกษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาของทิเบตได้อาราธนาพระมหาเถระจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ในชมภูทวีปมาสอนธรรม และแปลพระธรรมคัมภีร์เป็นภาษาทิเบต กล่าวได้ว่าตรันตระยานได้เจริญเติบโตหยั่งรากในดินแดนของทิเบตตั้งแต่นั้นมา ซึ่งนับว่าโชคดีที่ในกาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็ได้อันตรธานไปจากประเทศอินเดีย ด้วยหลายสาเหตุ เช่นภัยจากการรุกรานของชาวมุสลิม จากศาสนาพราหมณ์ที่เคยเป็นหลักในดินแดนนี้ตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล อีกทั้งจากความเสื่อมของชาวพุทธเอง ในช่วงเวลานั้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ถูกทำลาย พระธรรมคัมภีร์สูญหายและถูกทำลายทั้งจากการรุกรานของศาสนาอื่นและจากสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่าทิเบตสามารถรักษาพุทธศาสนาตรันตระยานไว้ได้ โดยที่ลังการักษาพระพุทธศาสนานิกายเถราวาทไว้ได้ และจีนรักษานิกายมหายานไว้ได้จวบจนถึงปัจจบัน

               วัชรยานหรือตรันตระยานนั้น มีลักษณะที่ผสมผสานทั้งจากฝ่ายเถราวาทและมหายาน โดยในส่วนของพระธรรมวินัยพระภิกษุสงฆ์ของวัชรยานต้องเคร่งครัดในพระธรรมวินัย องค์ทะไลลามะและพระภิกษุต้องสมาทานสิกขาบทตามพระปาฏิโมกข์เช่นเดียวกับพระภิกษุนิกายเถราวาท หากแต่มุ่งที่พระโพธิสัตว์บารมีเพื่อช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้ข้ามโอฆสงสารเช่นเดียวกับฝ่ายมหายาน

          ลักษณะการสอนของวัชรยานมีแบบอย่างเฉพาะ โดยมีการสอนมนต์กันอย่างที่เรียกว่า ตรันตระวิธี คือศิษย์เรียนจากพระอาจารย์โดยตรงด้วยวิธีอภิเษก มีการถ่ายทอดวิธีการภาวนาอย่างเป็นรหัสยะจากอาจารย์สู่ศิษย์ โดยไม่เปิดเผยให้คนนอกกลุ่มได้รู้ สาระสำคัญคือการภาวนาจนเห็นแสงอันกระจ่าง ตรันตระยานถือว่า บุคคล ตัวตน เรา ฉัน นั้นเป็นเพียงสมมุติสัตย์ แม้จะมีเอกลักษ์พิเศษ เช่น เป็นพระ เป็นผู้ชาย เป็นคนไทย นั่นก็เป็นเพียงองค์ประกอบของบุคคล ซึ่งไม่มีตัวตน ไม่คงที่ ไม่ถาวร แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา วิธีการสอนของครูอาจารย์จะใช้โยควิธี เพื่อให้เข้าถึงกระแสจิตอันละเอียดอ่อน และพลังทางจิตที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง โดยที่กระแสจิตอันละเอียดอ่อนอย่างที่สุดนี้จะกลายเป็นแสงอันกระจ่างที่จะปรากฏขึ้นในโอกาสต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เข้าถึงปรมัตถสัจจ์นั่นเอง

 

โครงสร้างของจิตตามแบบวัชรยาน

 

เพื่อความเข้าใจกระบวนการตายของทางฝ่ายวัชรยาน จึงควรทราบถึงโครงสร้างของจิตในเบื้องต้นก่อน ดังนี้

อนุตตรโยคตรันตระ แบ่งวิญญาณหรือจิตออกเป็น ๓ ระดับคือ ระดับหยาบ ระดับละเอียด และระดับประณีตที่สุด ในระดับหยาบนั้นครอบคลุมถึงวิญญาณหรือการรับรู้ทางอายาตนะภายนอกทั้ง ๕ ได้แก่ จักขุวิญญาณ คือ ความรับรู้ทางตาจากการมองเห็น โสตวิญญาณ คือ การรับรู้ทางเสียงจากการได้ยิน ฆานวิญญาณ คือ การรับรู้กลิ่นทางจมูก ชิวหาวิญญาณ คือ การรับรู้รสทางลิ้น และ กายวิญญาณ คือ การรับรู้สัมผัสทางกาย 

ในระดับที่ละเอียดกว่านี้แต่ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับหยาบ คือ วิญญาณที่รับรู้ความนึกคิด ๘๐ ประเภท ซึ่งจัดแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม ตามลักษณะของลม ๓ ประเภทที่วิญญาณขับเคลื่อนอยู่ คือ ระดับแรง ปานกลาง และเบา

กลุ่มแรก ครอบคลุมถึงสภาพความนึกคิด ๓๓ ประเภทซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอย่างแรงของลมที่เข้ายึดเกาะอารมณ์ อันได้แก่ ความกลัว ความยือมั่นถือมั่น ความหิวกระหาย ความกรุณา ความโลภ และความริษยา

กลุ่มที่ ๒ ครอบคลุมถึงสภาพความนึกคิด ๔๐ ประเภท เกี่ยวกับการเคลี่อนตัวของลมระดับปานกลางที่เข้ายึดเกาะอารมณ์ อาทิเช่น ความเบิกบานยินดี ความรู้สึกประหลาดใจ ความเอื้อเฟื้อ ความกล้าหาญ ความก้าวร้าว ความคดโกง

          กลุ่มที่ ๓ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอ่อน ๆ ของลมที่เข้ายึดเกาะอารมณ์ คือความคิด ๗ ประเภท เช่น การหลงลืม ความเข้าใจผิด ความรู้สึกเกร็ง ความหดหู่ เกียจคร้าน สงสัย และการเลือกที่รักมักที่ชัง

การรับรู้สภาพความคิดทั้ง ๓ แบบนี้เกิดขึ้นที่จิตระดับหยาบ แต่ก็ยังละเอียดกว่าการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ จึงเป็นภาพสะท้อนทางจิตที่ลึกกว่า ซึ่งมีการรับรู้ในเชิงทวิลักษณ์น้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อลมที่สภาพความคิดทั้ง ๘๐ ประเภทนี้อิงอาศัยอยู่ดับสลายลง ความคิดก็ย่อมดับสลายตามไปด้วย เป็นการก้าวผ่านจากจิตระดับหยาบสู่จิตระดับละเอียด การเข้าถึงปรากฎการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้จากการบำเพ็ญฌาน หรือจากกระบวนการทางธรรมชาติ คือ ขณะกำลังหลับ หรือ การดำเนินไปของกระบวนการตาย เมื่อจิตระดับหยาบดับไปจิตระดับละเอียดก็จะเผยดัวออกมา เป็นปรากฎการณ์ของแสง ๓ ระดับและจิตอันปราณีตที่สุดอีก ๑ ระดับคือ

ปรากฎการณ์ทางจิตที่เป็นสีขาวกระจ่าง สีส้มแดงเจิดจ้า และสีดำทะมึน ซึ่งในที่สุดแล้ว

จะนำไปสู่จิตอันประณีตที่สุดหรือจิตแห่งแสงกระจ่าง ซึ่งหากนำไปใช้ในทางธรรมก็จะเกิดพลังมหาศาล

          ก่อนที่จะกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางจิต ๔ ขั้นตอนสุดท้าย จำเป็นต้องกล่าวถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงทางสรีรศาสตร์ที่เกิดควบคู่กันไป ในทางอนุตตรโยคตรันตระกล่าวไว้ว่า ในร่างกายเรานี้ประกอบด้วย ช่องโครจรต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางเดินของลมปราณ ลมปราณและหยดของเหลวสำคัญที่เคลื่อนที่อยู่ในช่องลมปราณ การพิจารณาเรื่องนี้ ต้องใช้จินตนาการให้เกิดภาพ ดังนี้

ในร่างกายมีช่องโคจรต่าง ๆ อย่างน้อย ๗๒,๐๐๐ ช่อง อาทิ เส้นเลือด ท่อ เส้นประสาท รวมทั้งช่องทางที่ปรากฎให้เห็นและไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งจะเริ่มเจริญเติบโตเป็นหัวใจไม่นานหลังจากการปฏิสนธิ ช่องโคจรที่สำคัญที่สุด ๓ ช่องนั้น วิ่งจากจุดกลางหว่างคิ้วขึ้นไปยังกระหม่อมจากนั้นก็ลงมาทางด้านหน้าของกระดูกสันหลังสู่ก้นกบ แล้วเรื่อยลงมาจนกระทั่งถึงปลายอวัยวะเพศ ช่องทั้งหมดจำแนกออกเป็นช่องโคจรตรงกลาง ช่องโคจรทางขวาและซ้าย จุดสำคัญ ๆ ในช่องโคจรทั้ง ๓ นี้อยู่ที่จักระทั้ง ๗ ซึ่งมีซี่หรือกลีบจำนวนต่าง ๆ กัน (ทะไลลามะ, ๒๕๔๕, หน้า ๘๑ ๘๒) ดังนี้

๑.     จักระแห่งปิติสุข อยู่ตรงกลางกระหม่อม มี ๓๒ กลีบ ตรงกลางมีหยดของเหลวสีขาวเป็นที่มาแห่งปิติสุข

๒.     จักระแห่งความปรีดิ์เปรม อยู่ตรงกลางลำคอ มี ๑๖ กลีบ เป็นจุดที่รับรู้รส

๓.     จักระแห่งปรากฏการณ์ อยูที่หัวใจ มี ๘ กลีบ เป็นที่สถิตย์ของจิตกับปราณ อันเป็นรากฐานแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวง

๔.     จักระแห่งฉัพพรรณรังสี อยู่ที่สิ้นปี่ มี๖๔ กลีบ เป็นที่เกิดของมหาปิติ

๕.     จักระที่ค้ำจุนปิติสุข อยู่ตรงก้นกบ มี ๓๒ กลีบ เพราะปิติที่ลึกที่สุดมาจากก้นกบ

๖.     จักระกลางมณี อยู่ตรงปลายอวัยวะเพศ มี ๑๖ กลีบ

๗.     จักระที่หว่างคิ้ว มี ๑๖ กลีบ

ตามหลักของอนุตตรโยคตรันตระ โครงสร้างทางกายและจิตของเรานั้นเกี่ยวข้องกับลมพื้นฐาน ๕ ประเภท และลมบริวารอีก ๕ ประเภท (อ้างแล้ว, ๒๕๔๕, หน้า ๘๒ ๘๓) ดังนี้

๑.     ลมค้ำจุนชีวิต ฐานหลักอยู่ที่ช่องโคจรบริเวณหัวใจ มีหน้าที่ในการธำรงรักษาชีวิตและก่อให้เกิดลมบริวาร ๕ ประเภทที่ควบคุมการรับรู้และการทำงานของประสาทสัมผัส

๒.     ลมขับลงเบื้องล่าง ฐานหลักอย่ที่ช่องโคจรบริเวณท้องน้อย และแพร่กระจายอยู่ในมดลูกหรือท่อส่งน้ำอสุจิ กระเพาะกัสสาวะ ตะโพก เป็นตัวขับแฃะหยุดปัสสาวะ อุจจาระ และประจำเดือน

๓.     ลมที่สถิตย์ของไฟ มีฐานหลักอยูที่ลิ้นปี่ ซึ่งสามารถจุดความร้อนภายในให้เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกโยคะเป็นลมที่ช่วยในการย่อยอาหาร แยกส่วนที่เป็นสารอาหารและกากอาหารออกจากกัน

๔.     ลมแล่นขึ้นเบื้องบน มีฐานหลักอยู่ที่ช่องโคจรบริเวณลำคอ ทำหน้าที่ควบคุมลำคอและปากเวลาพูด รับรสอาหาร กลืน เรอ ถ่มน้ำลาย

๕.     ลมแผ่ซ่าน มีฐานหลักอยู่ตามข้อต่อต่าง ๆ  ทำให้แขนขาเคลื่อนไหวยึดงอได้ รวมทั้งช่วยเปิดปิดปากและเปลือกตา

จะเห็นว่าลมเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของกายและจิต หากการไหลเวียนของลมเป็นไปอย่างอิสระ ก็ย่อมทำให้สุขภาพดี แต่ถ้ามีการติดขัดก็ก่อให้เกิดปัญหา ปกติลมจะไม่เคลื่อนอยู่ในช่องโคจรกลาง ยกเว้นระหว่างที่อยู่ในกระบวนการตาย อย่างไรก็ตามการฝึกโยคะขั้นสูงสามารถช่วยให้มันเผยสภาวะจิตในระดับลึกออกมาได้ ระหว่างกระบวนการตายสี่ขั้นสุดท้าย ลมที่เป็นฐานของวิญญาณจะเข้าสู่ช่องโคจรขวาและซ้าย แล้วดับสลายภายในนั้น ขณะที่ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายจะเคลื่อนเข้าไปดับสลายภายในช่องโคจรกลางตามลำดับการหดตัวของช่องโคจรขวาและซ้ายจะทำได้การขมวดรัดของช่องโคจรที่เป็นปมคลายออก กล่าวคือ เมื่อช่องโคจรขวาและซ้ายเริ่มยุบ ช่องโคจรกลางจะเป็นอิสระ ทำให้ลมสามารถเคลื่อนเข้าไปภายในได้ การเคลื่อนที่นี้จะทำให้จิตในระดับละเอียดเผยตัวออกมา ผู้ที่ฝึกอนุตตรโยคตรันตระจะใช้โอกาสนี้ก้าวล่วงสู่มรรคาธรรม ลมที่จิตอันประณีตขับเคลื่อนอยู่จะหยุดเข้าหาอารมณ์ ทำให้จิตมีพลังเป็นพิเศษในการรู้แจ้งถึงสัจธรรม

ตรงกลางของจักระต่าง ๆ จะมีพินทุหรือหยด ซึ่งมีปลายยอดเป็นสีขาวฐานล่างเป็นสีแดงซึ่งเป็นฐานรากของสุขภาพกายและจิต สำหรับจุดที่กระหม่อมจะมีธาตุสีขาวเป็นลักษณะเด่นส่วนที่ลิ้นปี่จะมีธาตุสีแดงเป็นลักษณะเด่น หยดเหล่านี้เกิดจากหยดพื้นฐานตรงหัวใจมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเม็ดเล็ก ๆ ส่วนปลายยอดนั้นเป็นสีขาว ฐานเป็นสีแดงจึงเรียกว่า หยดอมฤต ลมปราณที่ค้ำจุนชีวิตจะอาศัยอยู่ภายในหยดนี้ขณะสิ้นใจ ลมทั้งหมดจะสลายเข้าไปในหยดดังกล่าวอันเป็นช่วงที่แสงกระจ่างแห่งความตายเริ่มปรากฏ (อ้างแล้ว, ๒๕๔๕, หน้า ๘๔ ๘๕)

 

กระบวนการตายในวิถีวัชรยาน

 

          ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ปรากฎการณ์ทางจิตตามลำดับจากจิตระดับหยาบสู่จิตระดับละเอียดนั้น อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น การหลับหรือการตาย หรือจากการปฏิบัติจนเข้าถึงฌาน ปรากฏการณ์ทางจิตระดับละเอียดที่จะกล่าวถึงต่อไปจึงขอกล่าวโดยรวมว่าเป็นกระบวนการตาย

กระบวนการตายแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน เริ่มต้นจากจิตที่ละเอียด ๓ ระดับ และสิ้นสุดด้วยจิตที่ประณีตที่สุดอีกหนึ่งขั้นตอน เมื่อวิญญาณในระดับหยาบดับลง จิตละเอียด ๓ ระดับจะผุดขึ้นมา ขณะที่ผ่านกระบวนการทั้ง ๓ ระดับนี้วิญญาณของเราจะลดความเป็นทวิลักษณ์ลงเรื่อย ๆ เนื่องจากสำนึกในการรับรู้จิตและวัตถุถดถอยลงทุกขณะ เมื่อสภาพความคิดทั้ง ๘๐ ประเภทของจิตระดับหยาบดับไป จิตละเอียดอันดับแรกใน ๓ ระดับจะเผยออกมา

เริ่มจากปรากฎการณ์แสงขาวกระจ่างเกิดขี้นเป็นความโล่งแจ้งที่เจิดจ้า ดุจดังท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วง ที่เรื่อเรืองไปด้วยแสงสีขาว สภาพความคิดหยาบ ๆ ดับไปเหลือไว้แต่ความรู้สึกว่างโล่ง สภาวะขั้นแรกนี้เรียกว่า “ปรากฎการณ์” เพราะมีลักษณะคล้ายแสงจันทร์ หรืออาจจะเรียกสภาวะอย่างนี้ว่า “ความว่าง” เนื่องจากมันอยู่เหนือความคิดทั้ง ๘๐ ประเภท

ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระในขั้นตอนนี้ คือ ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายที่อยู่เหนือหัวใจจะเคลื่อนที่เข้ามาที่ช่องโคจรกลาง โดยผ่านรูตรงกระหม่อม ทำให้ตามช่องโคจรต่าง ๆ บนกระหม่อมคลายออก ทำให้หยดสีขาวตรงกระหม่อม ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำไหลคล้อยมาด้านล่าง เมื่อถึงยอดปมของช่องโคจรขวาและซ้ายที่ขมวดกันตรงบริเวณหัวใจแล้วจะเกิดปรากฏการณ์แสงสีขาวกระจ่างขึ้น

          เมื่อจิตแห่งปรากฏการณ์แสงสีขาวสลายตัว เข้าสู่จิตแห่งปรากฏการณ์เพิ่มพูน จะเกิดปรากฏการณ์แสงสีส้มแดง เป็นสภาวะจิตของความโล่งแจ้งที่เจิดจ้ายิ่งกว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เหมือนกับในยามที่แสงตะวันแรงกล้าปรากฏ ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความว่างอย่างยิ่ง” เพราะมันอยู่เหนือจิตแห่งปรากฎการณ์และลมที่มันขับเคลื่อน

ความเปลี่ยนแปลงในทางสรีระในขั้นตอนนี้คือ ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายที่อยู่ข้างล่างหัวใจ จะเคลื่อนเข้ามาในช่องโคจรกลางโดยผ่านรูด้านล่างตรงก้นกบหรืออวัยวะเพศ ลมที่จักระในอวัยวะเพศและสะดือจึงคลายออก ทำให้หยดสีแดงที่อยู่กลางจักระตรงสะดือเคลื่อนขึ้นไปด้านบน เมื่อถึงด้านล่างของปมช่องโคจรขวดและซ้ายตรงหัวใจ ก็จะเกิดปรากฏการณ์เพิ่มพูนสีส้มแดง

เมื่อจิตแห่งปรากฎการณ์เพิ่มพูนสีส้มแดงมลายไปเข้าสู่จิตที่ใกล้บรรลุ ก็จะเกิด ปรากฎการณ์สีดำทะมึน ราวกับท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆและฝุ่นมีแตความมืดมนอนธการภายหลังพลบค่ำปกคลุมไปทั่ว ไม่มีสิ่งอื่นใดปรากฏในจิต ช่วงแรกของจิตใกล้บรรลุที่ดำทะมึนนี้เราจะยังคงมีสติ แต่ช่วงหลังเราจะไม่รู้สึกตัว อยู่ท่ามกลางความมืดมิด คล้าย ๆ กับสะลึมสะลือ ขั้นนี้เรียกว่า “ใกล้บรรลุ” เพราะเข้าใกล้สภาวะที่จิตแห่งแสงกระจ่างจะเผยตัว เราอาจเรียกอีกอย่างว่า “ความว่างอย่างที่สุด” เพราะมันอยู่เหนือจิตแห่งปรากฏการณ์เพิ่มพูน

          ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระในขั้นตอนนี้คือ ลมเบื้องบนและลมเบื้องล่างภายในช่องโคจรกลางจะเคลื่อนไปรวมกันที่หัวใจ ทำให้ปมของช่องโคจรซ้ายและขวาที่ขมวดกันเป็นหกชั้นคลายออก แล้วหยดสีขาวจากกระหม่อมก็จะไหลลงมา ส่วนหยดสีแดงจากสะดือก็จะไหลขึ้นไป และก่อนที่จะเคลื่อนเข้าไปยังใจกลางของหยดอมฤตตรงหัวใจ จึงเกิดปรากฏการณ์สีดำทะมึน

          ขั้นสุดท้าย จิตจะละเอียดประณีตยิ่งขึ้นกว่าเมื่อช่วงหลังของจิตใกล้บรรลุอันดำทะมึน ลมจะอ่อนกำลังลงเข้าสู่ภาวะของลมที่ละเอียดที่สุด ถึงตอนนี้สติจะฟื้นคืน ปรากฏเป็นจิตประภัสสรหรือจิตแห่งแสงกระจ่างอันเป็นจิตที่ละเอียดที่สุด ปราศจากความคิด ไม่มีลักษณะของทวิลักษณ์ การปรุงแต่งทางความคิดจะหยุดลง และ “สภาวะอันแปดเปื้อน” ทั้ง ๓ คือปรากฏการณ์ สีขาว สีแดง และสีดำ หรือพระจันทร์ พระอาทิตย์ และความมืดมิดซึ่งบดบังสีธรรมชาติของท้องฟ้าไว้ก็จะดับสลายไปด้วย เกิดความโล่งแจ้งอย่างมาก เปรียบดังท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของฤดูใบไม้ร่วง ก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้น ซึ่งปลอดโปร่งไม่มีอะไรมาบดบัง จิตในระดับที่ลึกที่สุดนี้เรียกว่า “จิตเดิมแท้อันประภัสสร” และ “ความว่างเปล่าอันสิ้นเชิง” เพราะมันอยู่เหนือสภาพความคิดทั้ง ๘๐ ประเภทและจิตประณีตทั้ง ๓ ระดับ

          ในทางสรีระของขั้นตอนนี้ หยดขาวและหยดแดงจะหลอมละลายเข้าสู่หยดอมฤตที่หัวใจโดยหยดขาวจะละลายเข้าสู่ส่วนยอดที่เป็นมีขาว ส่วนหยดแดงจะจะละลายสู่ฐานล่างที่เป็นสีแดงจากนั้นลมต่าง ๆที่อยู่ภายใต้ช่องโคจรกลางจะสลายเข้าไปในลมค้ำจุน ชีวิตที่ละเอียดยิ่ง ทำให้ลมประณีตและจิตแห่งแสงกระจ่างเผยตัวออกมา

การสิ้นชีวิตจะถือเอาตอนที่จิตระดับละเอียดที่สุดเผยตัว ตามปกติจิตที่ละเอียดที่สุดนี้จะ

ยังคงอยู่ในร่างกายอีก ๓ วัน ถ้าร่างกายนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งอาจทำให้ปรากฏการณ์นี้ไม่สามารถคงอยู่ได้แม้เพียงวันเดียว สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่เชี่ยวชาญ ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นโอกาสทองของการปฏิบัติ ผู้ที่เข้าถึงจิตประภัสสรจะสามารถคงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้นานกว่า ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนก่อนหน้านี้ บางคนอาจถึงขั้นเข้าถึงสัจธรรมแห่งความว่างของปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งรวมถึงวัฏฏสงสาร และนิพพานได้ (ทะไลลามะ, ๒๕๕๓, หน้า ๘๕-๘๘)

 

การเตรียมตัวตาย

 

ในสภาวะจิตสุดท้ายของกระบวนการตาย อันได้แก่ สภาวะจิตเดิมแท้อันประภัสสร ซึ่ง

เป็นสภาวะของแสงอันกระจ่างอย่างที่สุด หากผู้ตายระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าการปฏิบัติที่ผ่านมาจะยังไม่ได้ให้ผลถึงขั้นบรรลุถึงความหลุดพ้น ในสภาวะสุดท้ายของชีวิต ถ้าผู้ตายสามารถประครองจิตไว้อย่างดีก็มีโอกาสที่จิตจะบรรลุธรรมได้ ประเด็นนี้ชี้ให้ผู้ที่ฝึกฝนปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้หมั่นปฏิบัติอย่าได้ท้อถอย ถึงแม้ยังไม่ถึงความหลุดพ้นในระหว่างที่มีชีวิตช่วงจิตสุดท้ายก่อนตายยังมีโอกาส การหมั่นทบทวนและใคร่ครวญความตายให้คล่องเมื่อประสบกับสภาวะความตายจริงจะสามารถประครองจิตให้ถึงความหลุดพ้นได้ หรือที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมภายหลังความตาย การละสังขารเป็นเพียงสภาวะหนึ่งของกระแสแห่งการสืบต่อ อันหมายถึงดวงวิญญาณย้ายจากสัญญาหนึ่งไปสู่อีกสัญญาหนึ่ง การปฏิบัติธรรมต่อในระหว่างที่ตายและในทันทีภายหลังจากนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ก่อนที่ความตายจะย่างก้าวมาถึง เราควรศึกษา ทำความเข้าใจและใคร่ครวญกระบวนการตายให้เคยชิน เพื่อว่าจะสามารถรับมือกับสภาวะการตายที่จะปรากฏในแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง ขณะที่พลังชีวิตของผู้ใกล้ตายออกจากร่าง จะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น เป็นแสงที่พบในรายงานของประสบการณ์ใกล้ตายจำนวนมาก ปรมาจารย์ชาวทิเบตสอนว่า ถ้าเราสามารถจดจำสภาวะนั้นได้และเข้าไปสู่แสงนั้น เราก็จะหลุดพ้นจากการไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ดังนั้นผู้ที่ฝึกสมาธิจนแก่กล้าจะสามารถใช้ชั่วขณะอันสำคัญนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อย่างน้อยก็ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี

ในคัมภีร์มรณศาสตร์ แจกแจงถึงประสบการณ์พื้นฐานที่คนเราประสบเมื่อตาย และชี้ให้เห็นถึงสัญญาณบอกทางที่จะนำไปสู่ภพภูมิต่าง ๆ ขณะสิ้นใจ เราจะอยู่ในโลกที่มีแต่ภาพของความคำนึงราวกับอยู่ในความฝัน ผู้ที่รักษาความสงบไว้ได้อย่างเท่าทัน จะสามารถแยกแยะประสบการณ์ต่าง ๆ ในระหว่างตายได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของจิตสำนึก และย่อมผ่านพ้นประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏได้อย่างสง่างาม

          จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดในกระบวนการสิ้นชีวิตจะเห็นว่าชั่วขณะสุดท้ายก่อนจิตดับเป็นชั่วขณะหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการไปจุติยังภพภูมิใหม่ที่เป็นสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเลยที่เดียว จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พึงให้ความสำคัญต่อการใคร่ครวญความตายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้ลดความยึดมั่นถือมั่นลงได้ และไม่ประมาทในการดำรงชีพเป็นประการที่หนึ่ง ประการถัดมาคือการให้ความช่วยเหลือต่อผู้ใกล้ตายเพื่อให้สามารถเผชิญความตายอย่างมีสติและตายอย่างสงบ ซึ่งผู้เขียนขอยกประเด็นทั้งสองมาแสดงดังต่อไปนี้

๑.  มรณสติ ตายก่อนตาย

การเตรียมตัวตายที่ดีที่สุดคือ การพิจารณาความตายในขณะที่ยังมีชีวิต ดังพุทธพจน์ที่ทรงเทศนาไว้ไนมหาปรินิพานสูตร ก่อนดับขันธ์ปรินิพพานว่า

ในบรรดารอยเท้าทั้งหลาย

รอยเท้าช้างนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด

ในบรรดาการเจริญสติทั้งหลาย

มรนานุสตินั้นประเสริฐสุด

มนุษย์พึงใคร่ครวญความตายอยู่ทุกขณะจิตเพื่อเตรียมมรณสติ ให้ถึงพร้อมกับความตาย เรียกว่า ตายก่อนตาย หรือ ซ้อมตายนั่นเอง วิธีง่าย ๆ คือ การจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องระลึกถึงความตาย เช่น เมื่อเราเดินทางโดยเครื่องบิน ลองคิดว่า หากการเดินทางครั้งนี้ต้องประสบเหตุเครื่องบินตก และเราจะได้เดินทางเป็นครั้งสุดท้าย เราพร้อมที่จะตายหรือยัง มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ และต้องทำอีกบ้าง หรือเมื่อเราได้ทราบข่าวคนที่รักถึงแก่ความตาย เราจะเผชิญความจริงเหล่านั้นได้หรือไม่ เราลองใช้เหตุการณ์ดังกล่าว เตือนสติเราว่า เราเองก็ต้องเผชิญกับความตายเหล่านั้นไม่เร็วก็ช้า หรือเมื่อเราไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่กำลังทุกข์ทรมานกับอาการของโรค เราก็ลองจำลองเหตุการณ์ว่า เราเองหากต้องเป็นเช่นนั้นเราจะสามารถประคองความคิด สติปัญญา ต่อสู้กับอาการของโรคร้ายอย่างสงบได้อย่างไร            

๒.  การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใกล้ตายเพื่อการตายอย่างสงบ

นอกเหนือจากการดูแลสภาวะจิตของตนเองให้สามารถเผชิญภาวะสำคัญที่สุดในชีวิตอันได้แก่ สภาวะแห่งความตาย หรือภาวะจิตสุดท้ายแล้ว ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมหรือมีความรู้ในการฝึกจิตเพื่อก้าวสู่สภาวะความตายได้อย่างถูกต้องแล้ว อาจนำความรู้ช่วยเหลือผู้ใกล้ตายที่ไม่มีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยผู้ตายให้สามารถเผชิญกับความทุกข์ในการเจ็บป่วย หรือการก้าวสู่สภาวะใกล้ตายอย่างสงบ ซึ่งมีสภาวะต่าง ๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้ ตั้งแต่ การรับฟังและแบ่งปัน เพื่อช่วยให้จิตใจของผู้ใกล้ตายคลี่คลาย คิดได้ว่าความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องลงเอยอย่างเลวร้ายเสมอไป การช่วยสะสางธุระต่าง ๆ และพูดคุยเพื่อให้ผู้ใกล้ตายหมดความกังวลและการติดขัดในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ หรือมีความขุ่นมัวกับเรื่องราวที่ไม่ชอบใจอยู่ การชวนให้ผู้ใกล้ตายแผ่เมตตา อโหสิกรรม ยอมรับ และกล่าวขอโทษทั้งต่อหน้า หรือการเขียนจดหมายไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใกล้ตายหมดความกังวลและการติดค้างได้ดี นอกจากนี้ การน้อมนำจิตผู้ใกล้ตายไปสู่ความดีงาม นับเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้ใกล้ตาย ตายอย่างมีคุณภาพ ตายแล้วไปสู่ภพภูมิที่ดี และทุกคนเข้าใจสัจธรรมของการมี การเป็นมนุษย์ว่า ต่างมีความตายเป็นที่สุด ดั่งพุทวจนที่ว่า “แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใคร ๆ มันย่ำยีหมดทุกคน”

 

สรุป

 

ในสำนึกของคนทั่วๆไปเมื่อถึงคราวตายทุกคนต้องการตายอย่างไม่เจ็บปวด ไม่ทุรนทุราย ไม่น่าเกลียด ไม่ถูกฆ่าตาย หรือตายโดยอุบัติเหตุ ที่เรียกว่าตายโหง ทุกคนปรารถนาที่จะตายอย่างอบอุ่นท่ามกลางคนที่รักและญาติมิตรพร้อมหน้าในสถานที่อันคุ้นเคย ซึ่งเราคิดว่านี่คือการ”ตายดี” แต่ในความเป็นจริงการตายดีไม่เกี่ยวกับรูปรักษ์ของการตายแต่เกี่ยวโดยตรงกับสภาวะจิตขณะตายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  การศึกษาเรื่องความตายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ปรารถนาที่จะตายดี คือตายแล้วไปอยู่ในภพภูมิที่ดี หรือบรรลุถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

วัชรยานได้สื่อความหมายให้เห็นว่าการตายเป็นศิลปะที่พึงเรียนรู้และทำความเข้าใจ หากว่าเข้าใจความตายอย่างถ่องแท้แล้วเราจึงรู้ว่าจะเตรียมตัวตายอย่างไร หากวาระแห่งการตายมาถึง เพื่อให้ตายอย่างงดงาม

 

--------------------------------------

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เอกสารอ้างอิง

 

ชักดุด ตุลกู รินโปเช. (๒๕๕๐). สู่ความตายอย่างสงบ. (แปลจาก Life in Relation to Death. โดยบุลยา). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง. 

ทะไลลามะ. (๒๕๕๓). ชั่วขณะสุดท้ายแห่งชีวิต: คำอธิษฐานเพื่อการจากไปอย่างสุขสงบ และชีวิตที่ดีกว่า. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). (แปลจาก Advice on dying and living a better life. ถอดความเป็นภาษาอังกฤษโดย เจฟฟรี ฮ็อปกินส์. แปลเป็นภาษาไทยโดย ธารา รินศานต์).  กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.

ปิยโสภณ. (๒๕๕๖). ตายไม่มี. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๖). กรุงเทพมหานคร: วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก.

มานพ อุปสโม, พระอาจารย์. (๒๕๕๑). ตีสนิทกับความตาย. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๐). กรุงเทพฯซ ดีเอ็มจี.

รินโปเช, โซเกียล. (๒๕๕๔). ประตูสู่สภาวะใหม่. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). (แปลจาก The Tibetan Book of Living and Dying: คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตายและช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย โดย พระไพศาล วิสาโล). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.

สุชีลา แบล็คแมน. (๒๕๔๗). มรณกรรมที่งดงาม. (แปลจาก Graceful Exits. โดย ธารา รินศานต์).

กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.

ส.ศิวรักษ์. (๒๕๓๖).  เตรียมตัวตายอย่างมีสติ. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นนทบุรี: ใจสบาย.

----------. (๒๕๔๒). พุทธตันตระ หรือ วัชรยาน. กรุงเทพฯ: ส่องศยาม.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น