ศิลปแห่งการตายในวิถีวัชรยาน
นายชำนาญ
วงศ์รัศมีเดือน
บทนำ
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“ไม่มีสถานที่ใด
ที่ความตายมิอาจย่างกรายไปถึง
ไม่ว่าจะเป็นในห้วงนภากาศ
ในมหาสมุทร
เหรียญอีกด้านหนี่งของการเกิด
คือ การตาย ซึ่งแม้ทุกคนต่างรู้ดีว่า ความตายคือส่วนหนึ่งของการเกิดและการมีชีวิต
สรรพสัตว์ที่เกิดมาล้วนต้องตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างไม่สามารถหลีกพ้น
แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ส่วนมากก็ยังกลัวความตาย เพราะความตายคือการพลัดพราก เป็นทุกข์
จึงพยายามหลีกเหลี่ยงที่จะคิดถึงความตาย บางชนชาติการพูดถึงความตายถือเป็นเรื่องอัปมงคลที่เดียว
แม้พระพุทธศาสนาจะสอนว่า มนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากวัฏสงสารยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
การตายจากภพนี้หมายถึงการถือกำเนิดในภพใหม่ จะเป็นสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ ก็แล้วแต่กรรมดีหรือกรรมชั่วของแต่ละคนที่ได้สั่งสมไว้
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกให้พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เพื่อโน้มนำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หลีกเลี่ยงกรรมชั่ว สร้างสมกรรมดี
การที่ผู้เขียนให้ความสนใจเรื่องความตายในวิถีแห่งตรันตระยานหรือวัชรยาน
ก็เพราะเห็นว่า วัชรยานได้กล่าวถึงกระบวนการตายไว้อย่างพิศดารที่ไม่มีกล่าวไว้ในเถราวาทนิกาย
วัชรยานได้ กล่าวถึงกระบวนการตายอย่างชัดเจนเป็นขั้นตอน
โดยเฉพาะวาระสุดท้ายก่อนดับจิตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ตายที่จะไปจุติในภพภูมิใหม่
วัชรยานเชื่อว่า ในชั่วขณะจิตสุดท้ายแห่งแสงกระจ่างหากประคองจิตอย่างถูกต้อง จิตจะได้ไปจุติในสุคติภูมิเป็นเบื้องต้น
หรือที่สุด จิตสามารถบรรลุสู่ความเป็นปรมัตถ์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นการเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการตายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามซึ่งจะต้องตายในวันหนึ่ง
นอกจากเรียนรู้การใคร่ครวญความตายเพื่อประโยชน์ตนแล้ว การช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตายให้ตายอย่างสงบก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาวัชรยาน
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจกระบวนการตายในวิถีวัชรยานได้ลึกซึ้งขึ้น
จึงขอกล่าวถึงความเป็นมาของพุทธศาสนาสายวัชรยานหรือตรันตระยาน หรือที่คนทั่วไป อาจจะรู้จักในแนวพุทธศาสนาสายทิเบต
พอเป็นสังเขปดังนี้
พระพุทธศาสนานิกายที่เป็นที่รู้จักกันในโลกนี้จะแบ่งออกเป็น
๓ สายหลักหรือ ๓ นิกาย ได้แก่ พระพุทธศาสนาเถราวาท ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในประเทศศรีลังกาและแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย
ถัดมาคือ พระพุทธศาสนามหายาน เจริญรุ่งเรืองในแถบเอเซียตะวันออก
และพระพุทธศาสนาตรันตระยานหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัชรยานเจริญเติบโตหยั่งรากในทิเบตมาตั้งแต่โบราณจวบจนกระทั่งถูกจีนเข้ายึดครอง
โดยมีท่านทะไลลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของนิกายนี้ ซึ่งท่านและเหล่าสาวกต้องอพยพลี้ภัยการเมืองอยู่ในที่ต่าง
ๆ ของโลกในปัจจุบัน
จุดกำเนิดของพุทธศาสนานิกายตรันตระยานมีอยู่ว่า
หลังสิ้นพุทธกาลราวพันปี พุทธศาสนามีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายอินเดียซึ่งศรัทธาในตรันตระนิกาย
และของฝ่ายจีนซึ่งศรัทธาพุทธศาสนามหายาน พระมหากษัตริย์แห่งทิเบตสมัยนั้นต้องการเลือกที่จะรับพระพุทธศาสนาแบบใดระหว่างฝ่ายอินเดียและฝ่ายจีน
จึงใด้นิมนต์พระอาจารย์จากทั้งสองฝั่งมาปุฉาวิสัจชนากันปรากฎว่า พระมหากษัตริย์ศรัทธาพระพุทธศาสนาแบบของอินเดียมากว่า
แต่นั้นมาจึงรับกระแสพุทธศาสนานิกายตรันตระซึ่งเป็นหลักอยู่ในภรตประเทศในเวลานั้นและปิดกั้นไม่รับกระแสพุทธแบบจีนอีก
จากนั้นกษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาของทิเบตได้อาราธนาพระมหาเถระจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ในชมภูทวีปมาสอนธรรม
และแปลพระธรรมคัมภีร์เป็นภาษาทิเบต กล่าวได้ว่าตรันตระยานได้เจริญเติบโตหยั่งรากในดินแดนของทิเบตตั้งแต่นั้นมา
ซึ่งนับว่าโชคดีที่ในกาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็ได้อันตรธานไปจากประเทศอินเดีย
ด้วยหลายสาเหตุ เช่นภัยจากการรุกรานของชาวมุสลิม จากศาสนาพราหมณ์ที่เคยเป็นหลักในดินแดนนี้ตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล
อีกทั้งจากความเสื่อมของชาวพุทธเอง ในช่วงเวลานั้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ถูกทำลาย
พระธรรมคัมภีร์สูญหายและถูกทำลายทั้งจากการรุกรานของศาสนาอื่นและจากสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ
แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่าทิเบตสามารถรักษาพุทธศาสนาตรันตระยานไว้ได้
โดยที่ลังการักษาพระพุทธศาสนานิกายเถราวาทไว้ได้ และจีนรักษานิกายมหายานไว้ได้จวบจนถึงปัจจบัน
วัชรยานหรือตรันตระยานนั้น มีลักษณะที่ผสมผสานทั้งจากฝ่ายเถราวาทและมหายาน
โดยในส่วนของพระธรรมวินัยพระภิกษุสงฆ์ของวัชรยานต้องเคร่งครัดในพระธรรมวินัย
องค์ทะไลลามะและพระภิกษุต้องสมาทานสิกขาบทตามพระปาฏิโมกข์เช่นเดียวกับพระภิกษุนิกายเถราวาท
หากแต่มุ่งที่พระโพธิสัตว์บารมีเพื่อช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้ข้ามโอฆสงสารเช่นเดียวกับฝ่ายมหายาน
ลักษณะการสอนของวัชรยานมีแบบอย่างเฉพาะ โดยมีการสอนมนต์กันอย่างที่เรียกว่า
ตรันตระวิธี คือศิษย์เรียนจากพระอาจารย์โดยตรงด้วยวิธีอภิเษก มีการถ่ายทอดวิธีการภาวนาอย่างเป็นรหัสยะจากอาจารย์สู่ศิษย์
โดยไม่เปิดเผยให้คนนอกกลุ่มได้รู้ สาระสำคัญคือการภาวนาจนเห็นแสงอันกระจ่าง ตรันตระยานถือว่า
บุคคล ตัวตน เรา ฉัน นั้นเป็นเพียงสมมุติสัตย์ แม้จะมีเอกลักษ์พิเศษ เช่น เป็นพระ
เป็นผู้ชาย เป็นคนไทย นั่นก็เป็นเพียงองค์ประกอบของบุคคล ซึ่งไม่มีตัวตน ไม่คงที่
ไม่ถาวร แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา วิธีการสอนของครูอาจารย์จะใช้โยควิธี เพื่อให้เข้าถึงกระแสจิตอันละเอียดอ่อน
และพลังทางจิตที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
โดยที่กระแสจิตอันละเอียดอ่อนอย่างที่สุดนี้จะกลายเป็นแสงอันกระจ่างที่จะปรากฏขึ้นในโอกาสต่าง
ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เข้าถึงปรมัตถสัจจ์นั่นเอง
โครงสร้างของจิตตามแบบวัชรยาน
เพื่อความเข้าใจกระบวนการตายของทางฝ่ายวัชรยาน
จึงควรทราบถึงโครงสร้างของจิตในเบื้องต้นก่อน ดังนี้
อนุตตรโยคตรันตระ
แบ่งวิญญาณหรือจิตออกเป็น ๓ ระดับคือ ระดับหยาบ ระดับละเอียด และระดับประณีตที่สุด
ในระดับหยาบนั้นครอบคลุมถึงวิญญาณหรือการรับรู้ทางอายาตนะภายนอกทั้ง ๕ ได้แก่ จักขุวิญญาณ
คือ ความรับรู้ทางตาจากการมองเห็น โสตวิญญาณ คือ การรับรู้ทางเสียงจากการได้ยิน ฆานวิญญาณ
คือ การรับรู้กลิ่นทางจมูก ชิวหาวิญญาณ คือ การรับรู้รสทางลิ้น และ กายวิญญาณ คือ
การรับรู้สัมผัสทางกาย
ในระดับที่ละเอียดกว่านี้แต่ก็ยังจัดว่าอยู่ในระดับหยาบ
คือ วิญญาณที่รับรู้ความนึกคิด ๘๐ ประเภท ซึ่งจัดแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม ตามลักษณะของลม
๓ ประเภทที่วิญญาณขับเคลื่อนอยู่ คือ ระดับแรง ปานกลาง และเบา
กลุ่มแรก
ครอบคลุมถึงสภาพความนึกคิด ๓๓ ประเภทซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอย่างแรงของลมที่เข้ายึดเกาะอารมณ์
อันได้แก่ ความกลัว ความยือมั่นถือมั่น ความหิวกระหาย ความกรุณา ความโลภ
และความริษยา
กลุ่มที่
๒ ครอบคลุมถึงสภาพความนึกคิด ๔๐ ประเภท
เกี่ยวกับการเคลี่อนตัวของลมระดับปานกลางที่เข้ายึดเกาะอารมณ์ อาทิเช่น ความเบิกบานยินดี
ความรู้สึกประหลาดใจ ความเอื้อเฟื้อ ความกล้าหาญ ความก้าวร้าว ความคดโกง
กลุ่มที่ ๓
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวอ่อน ๆ ของลมที่เข้ายึดเกาะอารมณ์ คือความคิด ๗ ประเภท
เช่น การหลงลืม ความเข้าใจผิด ความรู้สึกเกร็ง ความหดหู่ เกียจคร้าน สงสัย และการเลือกที่รักมักที่ชัง
การรับรู้สภาพความคิดทั้ง
๓ แบบนี้เกิดขึ้นที่จิตระดับหยาบ
แต่ก็ยังละเอียดกว่าการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕
จึงเป็นภาพสะท้อนทางจิตที่ลึกกว่า ซึ่งมีการรับรู้ในเชิงทวิลักษณ์น้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อลมที่สภาพความคิดทั้ง
๘๐ ประเภทนี้อิงอาศัยอยู่ดับสลายลง ความคิดก็ย่อมดับสลายตามไปด้วย เป็นการก้าวผ่านจากจิตระดับหยาบสู่จิตระดับละเอียด การเข้าถึงปรากฎการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้จากการบำเพ็ญฌาน
หรือจากกระบวนการทางธรรมชาติ คือ ขณะกำลังหลับ หรือ การดำเนินไปของกระบวนการตาย
เมื่อจิตระดับหยาบดับไปจิตระดับละเอียดก็จะเผยดัวออกมา เป็นปรากฎการณ์ของแสง ๓ ระดับและจิตอันปราณีตที่สุดอีก
๑ ระดับคือ
ปรากฎการณ์ทางจิตที่เป็นสีขาวกระจ่าง
สีส้มแดงเจิดจ้า และสีดำทะมึน ซึ่งในที่สุดแล้ว
จะนำไปสู่จิตอันประณีตที่สุดหรือจิตแห่งแสงกระจ่าง
ซึ่งหากนำไปใช้ในทางธรรมก็จะเกิดพลังมหาศาล
ก่อนที่จะกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางจิต
๔ ขั้นตอนสุดท้าย จำเป็นต้องกล่าวถึงกระบวนการการเปลี่ยนแปลงทางสรีรศาสตร์ที่เกิดควบคู่กันไป
ในทางอนุตตรโยคตรันตระกล่าวไว้ว่า ในร่างกายเรานี้ประกอบด้วย ช่องโครจรต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางเดินของลมปราณ
ลมปราณและหยดของเหลวสำคัญที่เคลื่อนที่อยู่ในช่องลมปราณ การพิจารณาเรื่องนี้
ต้องใช้จินตนาการให้เกิดภาพ ดังนี้
ในร่างกายมีช่องโคจรต่าง ๆ อย่างน้อย ๗๒,๐๐๐ ช่อง
อาทิ เส้นเลือด ท่อ เส้นประสาท รวมทั้งช่องทางที่ปรากฎให้เห็นและไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งจะเริ่มเจริญเติบโตเป็นหัวใจไม่นานหลังจากการปฏิสนธิ
ช่องโคจรที่สำคัญที่สุด ๓ ช่องนั้น
วิ่งจากจุดกลางหว่างคิ้วขึ้นไปยังกระหม่อมจากนั้นก็ลงมาทางด้านหน้าของกระดูกสันหลังสู่ก้นกบ
แล้วเรื่อยลงมาจนกระทั่งถึงปลายอวัยวะเพศ ช่องทั้งหมดจำแนกออกเป็นช่องโคจรตรงกลาง ช่องโคจรทางขวาและซ้าย
จุดสำคัญ ๆ ในช่องโคจรทั้ง ๓ นี้อยู่ที่จักระทั้ง ๗ ซึ่งมีซี่หรือกลีบจำนวนต่าง ๆ กัน
(ทะไลลามะ, ๒๕๔๕, หน้า ๘๑ –
๘๒) ดังนี้
๑.
จักระแห่งปิติสุข อยู่ตรงกลางกระหม่อม
มี ๓๒ กลีบ ตรงกลางมีหยดของเหลวสีขาวเป็นที่มาแห่งปิติสุข
๒.
จักระแห่งความปรีดิ์เปรม
อยู่ตรงกลางลำคอ มี ๑๖ กลีบ เป็นจุดที่รับรู้รส
๓.
จักระแห่งปรากฏการณ์ อยูที่หัวใจ มี ๘
กลีบ เป็นที่สถิตย์ของจิตกับปราณ อันเป็นรากฐานแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวง
๔.
จักระแห่งฉัพพรรณรังสี อยู่ที่สิ้นปี่
มี๖๔ กลีบ เป็นที่เกิดของมหาปิติ
๕.
จักระที่ค้ำจุนปิติสุข อยู่ตรงก้นกบ
มี ๓๒ กลีบ เพราะปิติที่ลึกที่สุดมาจากก้นกบ
๖.
จักระกลางมณี อยู่ตรงปลายอวัยวะเพศ มี
๑๖ กลีบ
๗.
จักระที่หว่างคิ้ว มี ๑๖ กลีบ
ตามหลักของอนุตตรโยคตรันตระ
โครงสร้างทางกายและจิตของเรานั้นเกี่ยวข้องกับลมพื้นฐาน ๕ ประเภท และลมบริวารอีก ๕
ประเภท (อ้างแล้ว, ๒๕๔๕, หน้า ๘๒ – ๘๓) ดังนี้
๑.
ลมค้ำจุนชีวิต
ฐานหลักอยู่ที่ช่องโคจรบริเวณหัวใจ
มีหน้าที่ในการธำรงรักษาชีวิตและก่อให้เกิดลมบริวาร ๕ ประเภทที่ควบคุมการรับรู้และการทำงานของประสาทสัมผัส
๒.
ลมขับลงเบื้องล่าง
ฐานหลักอย่ที่ช่องโคจรบริเวณท้องน้อย และแพร่กระจายอยู่ในมดลูกหรือท่อส่งน้ำอสุจิ
กระเพาะกัสสาวะ ตะโพก เป็นตัวขับแฃะหยุดปัสสาวะ อุจจาระ และประจำเดือน
๓.
ลมที่สถิตย์ของไฟ
มีฐานหลักอยูที่ลิ้นปี่
ซึ่งสามารถจุดความร้อนภายในให้เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกโยคะเป็นลมที่ช่วยในการย่อยอาหาร
แยกส่วนที่เป็นสารอาหารและกากอาหารออกจากกัน
๔.
ลมแล่นขึ้นเบื้องบน
มีฐานหลักอยู่ที่ช่องโคจรบริเวณลำคอ ทำหน้าที่ควบคุมลำคอและปากเวลาพูด รับรสอาหาร
กลืน เรอ ถ่มน้ำลาย
๕.
ลมแผ่ซ่าน มีฐานหลักอยู่ตามข้อต่อต่าง
ๆ ทำให้แขนขาเคลื่อนไหวยึดงอได้
รวมทั้งช่วยเปิดปิดปากและเปลือกตา
จะเห็นว่าลมเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของกายและจิต
หากการไหลเวียนของลมเป็นไปอย่างอิสระ ก็ย่อมทำให้สุขภาพดี แต่ถ้ามีการติดขัดก็ก่อให้เกิดปัญหา
ปกติลมจะไม่เคลื่อนอยู่ในช่องโคจรกลาง ยกเว้นระหว่างที่อยู่ในกระบวนการตาย
อย่างไรก็ตามการฝึกโยคะขั้นสูงสามารถช่วยให้มันเผยสภาวะจิตในระดับลึกออกมาได้
ระหว่างกระบวนการตายสี่ขั้นสุดท้าย ลมที่เป็นฐานของวิญญาณจะเข้าสู่ช่องโคจรขวาและซ้าย
แล้วดับสลายภายในนั้น ขณะที่ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายจะเคลื่อนเข้าไปดับสลายภายในช่องโคจรกลางตามลำดับการหดตัวของช่องโคจรขวาและซ้ายจะทำได้การขมวดรัดของช่องโคจรที่เป็นปมคลายออก
กล่าวคือ เมื่อช่องโคจรขวาและซ้ายเริ่มยุบ ช่องโคจรกลางจะเป็นอิสระ
ทำให้ลมสามารถเคลื่อนเข้าไปภายในได้ การเคลื่อนที่นี้จะทำให้จิตในระดับละเอียดเผยตัวออกมา
ผู้ที่ฝึกอนุตตรโยคตรันตระจะใช้โอกาสนี้ก้าวล่วงสู่มรรคาธรรม
ลมที่จิตอันประณีตขับเคลื่อนอยู่จะหยุดเข้าหาอารมณ์
ทำให้จิตมีพลังเป็นพิเศษในการรู้แจ้งถึงสัจธรรม
ตรงกลางของจักระต่าง
ๆ จะมีพินทุหรือหยด
ซึ่งมีปลายยอดเป็นสีขาวฐานล่างเป็นสีแดงซึ่งเป็นฐานรากของสุขภาพกายและจิต
สำหรับจุดที่กระหม่อมจะมีธาตุสีขาวเป็นลักษณะเด่นส่วนที่ลิ้นปี่จะมีธาตุสีแดงเป็นลักษณะเด่น
หยดเหล่านี้เกิดจากหยดพื้นฐานตรงหัวใจมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเม็ดเล็ก ๆ
ส่วนปลายยอดนั้นเป็นสีขาว ฐานเป็นสีแดงจึงเรียกว่า หยดอมฤต
ลมปราณที่ค้ำจุนชีวิตจะอาศัยอยู่ภายในหยดนี้ขณะสิ้นใจ ลมทั้งหมดจะสลายเข้าไปในหยดดังกล่าวอันเป็นช่วงที่แสงกระจ่างแห่งความตายเริ่มปรากฏ
(อ้างแล้ว, ๒๕๔๕, หน้า ๘๔ –
๘๕)
กระบวนการตายในวิถีวัชรยาน
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า
ปรากฎการณ์ทางจิตตามลำดับจากจิตระดับหยาบสู่จิตระดับละเอียดนั้น อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการทางธรรมชาติ
เช่น การหลับหรือการตาย หรือจากการปฏิบัติจนเข้าถึงฌาน ปรากฏการณ์ทางจิตระดับละเอียดที่จะกล่าวถึงต่อไปจึงขอกล่าวโดยรวมว่าเป็นกระบวนการตาย
กระบวนการตายแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน
เริ่มต้นจากจิตที่ละเอียด ๓ ระดับ และสิ้นสุดด้วยจิตที่ประณีตที่สุดอีกหนึ่งขั้นตอน
เมื่อวิญญาณในระดับหยาบดับลง จิตละเอียด ๓ ระดับจะผุดขึ้นมา
ขณะที่ผ่านกระบวนการทั้ง ๓ ระดับนี้วิญญาณของเราจะลดความเป็นทวิลักษณ์ลงเรื่อย ๆ
เนื่องจากสำนึกในการรับรู้จิตและวัตถุถดถอยลงทุกขณะ เมื่อสภาพความคิดทั้ง ๘๐
ประเภทของจิตระดับหยาบดับไป จิตละเอียดอันดับแรกใน ๓ ระดับจะเผยออกมา
เริ่มจากปรากฎการณ์แสงขาวกระจ่างเกิดขี้นเป็นความโล่งแจ้งที่เจิดจ้า
ดุจดังท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วง ที่เรื่อเรืองไปด้วยแสงสีขาว สภาพความคิดหยาบ ๆ ดับไปเหลือไว้แต่ความรู้สึกว่างโล่ง
สภาวะขั้นแรกนี้เรียกว่า “ปรากฎการณ์” เพราะมีลักษณะคล้ายแสงจันทร์ หรืออาจจะเรียกสภาวะอย่างนี้ว่า
“ความว่าง” เนื่องจากมันอยู่เหนือความคิดทั้ง ๘๐ ประเภท
ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระในขั้นตอนนี้
คือ ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายที่อยู่เหนือหัวใจจะเคลื่อนที่เข้ามาที่ช่องโคจรกลาง
โดยผ่านรูตรงกระหม่อม ทำให้ตามช่องโคจรต่าง ๆ บนกระหม่อมคลายออก
ทำให้หยดสีขาวตรงกระหม่อม ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำไหลคล้อยมาด้านล่าง
เมื่อถึงยอดปมของช่องโคจรขวาและซ้ายที่ขมวดกันตรงบริเวณหัวใจแล้วจะเกิดปรากฏการณ์แสงสีขาวกระจ่างขึ้น
เมื่อจิตแห่งปรากฏการณ์แสงสีขาวสลายตัว
เข้าสู่จิตแห่งปรากฏการณ์เพิ่มพูน จะเกิดปรากฏการณ์แสงสีส้มแดง เป็นสภาวะจิตของความโล่งแจ้งที่เจิดจ้ายิ่งกว่า
เป็นปรากฏการณ์ที่เหมือนกับในยามที่แสงตะวันแรงกล้าปรากฏ
ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความว่างอย่างยิ่ง”
เพราะมันอยู่เหนือจิตแห่งปรากฎการณ์และลมที่มันขับเคลื่อน
ความเปลี่ยนแปลงในทางสรีระในขั้นตอนนี้คือ
ลมในช่องโคจรขวาและซ้ายที่อยู่ข้างล่างหัวใจ จะเคลื่อนเข้ามาในช่องโคจรกลางโดยผ่านรูด้านล่างตรงก้นกบหรืออวัยวะเพศ
ลมที่จักระในอวัยวะเพศและสะดือจึงคลายออก ทำให้หยดสีแดงที่อยู่กลางจักระตรงสะดือเคลื่อนขึ้นไปด้านบน
เมื่อถึงด้านล่างของปมช่องโคจรขวดและซ้ายตรงหัวใจ
ก็จะเกิดปรากฏการณ์เพิ่มพูนสีส้มแดง
เมื่อจิตแห่งปรากฎการณ์เพิ่มพูนสีส้มแดงมลายไปเข้าสู่จิตที่ใกล้บรรลุ
ก็จะเกิด ปรากฎการณ์สีดำทะมึน
ราวกับท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆและฝุ่นมีแตความมืดมนอนธการภายหลังพลบค่ำปกคลุมไปทั่ว ไม่มีสิ่งอื่นใดปรากฏในจิต ช่วงแรกของจิตใกล้บรรลุที่ดำทะมึนนี้เราจะยังคงมีสติ
แต่ช่วงหลังเราจะไม่รู้สึกตัว
อยู่ท่ามกลางความมืดมิด คล้าย ๆ กับสะลึมสะลือ ขั้นนี้เรียกว่า “ใกล้บรรลุ” เพราะเข้าใกล้สภาวะที่จิตแห่งแสงกระจ่างจะเผยตัว
เราอาจเรียกอีกอย่างว่า “ความว่างอย่างที่สุด” เพราะมันอยู่เหนือจิตแห่งปรากฏการณ์เพิ่มพูน
ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระในขั้นตอนนี้คือ
ลมเบื้องบนและลมเบื้องล่างภายในช่องโคจรกลางจะเคลื่อนไปรวมกันที่หัวใจ
ทำให้ปมของช่องโคจรซ้ายและขวาที่ขมวดกันเป็นหกชั้นคลายออก
แล้วหยดสีขาวจากกระหม่อมก็จะไหลลงมา ส่วนหยดสีแดงจากสะดือก็จะไหลขึ้นไป และก่อนที่จะเคลื่อนเข้าไปยังใจกลางของหยดอมฤตตรงหัวใจ
จึงเกิดปรากฏการณ์สีดำทะมึน
ขั้นสุดท้าย
จิตจะละเอียดประณีตยิ่งขึ้นกว่าเมื่อช่วงหลังของจิตใกล้บรรลุอันดำทะมึน
ลมจะอ่อนกำลังลงเข้าสู่ภาวะของลมที่ละเอียดที่สุด ถึงตอนนี้สติจะฟื้นคืน ปรากฏเป็นจิตประภัสสรหรือจิตแห่งแสงกระจ่างอันเป็นจิตที่ละเอียดที่สุด
ปราศจากความคิด ไม่มีลักษณะของทวิลักษณ์ การปรุงแต่งทางความคิดจะหยุดลง และ
“สภาวะอันแปดเปื้อน” ทั้ง ๓ คือปรากฏการณ์ สีขาว สีแดง และสีดำ หรือพระจันทร์
พระอาทิตย์ และความมืดมิดซึ่งบดบังสีธรรมชาติของท้องฟ้าไว้ก็จะดับสลายไปด้วย
เกิดความโล่งแจ้งอย่างมาก เปรียบดังท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของฤดูใบไม้ร่วง
ก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้น ซึ่งปลอดโปร่งไม่มีอะไรมาบดบัง
จิตในระดับที่ลึกที่สุดนี้เรียกว่า “จิตเดิมแท้อันประภัสสร” และ
“ความว่างเปล่าอันสิ้นเชิง” เพราะมันอยู่เหนือสภาพความคิดทั้ง ๘๐
ประเภทและจิตประณีตทั้ง ๓ ระดับ
ในทางสรีระของขั้นตอนนี้
หยดขาวและหยดแดงจะหลอมละลายเข้าสู่หยดอมฤตที่หัวใจโดยหยดขาวจะละลายเข้าสู่ส่วนยอดที่เป็นมีขาว
ส่วนหยดแดงจะจะละลายสู่ฐานล่างที่เป็นสีแดงจากนั้นลมต่าง ๆที่อยู่ภายใต้ช่องโคจรกลางจะสลายเข้าไปในลมค้ำจุน
ชีวิตที่ละเอียดยิ่ง ทำให้ลมประณีตและจิตแห่งแสงกระจ่างเผยตัวออกมา
การสิ้นชีวิตจะถือเอาตอนที่จิตระดับละเอียดที่สุดเผยตัว
ตามปกติจิตที่ละเอียดที่สุดนี้จะ
ยังคงอยู่ในร่างกายอีก
๓ วัน ถ้าร่างกายนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากโรคภัยไข้เจ็บ
ซึ่งอาจทำให้ปรากฏการณ์นี้ไม่สามารถคงอยู่ได้แม้เพียงวันเดียว
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่เชี่ยวชาญ ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นโอกาสทองของการปฏิบัติ
ผู้ที่เข้าถึงจิตประภัสสรจะสามารถคงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้นานกว่า ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนก่อนหน้านี้
บางคนอาจถึงขั้นเข้าถึงสัจธรรมแห่งความว่างของปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง
ซึ่งรวมถึงวัฏฏสงสาร และนิพพานได้ (ทะไลลามะ, ๒๕๕๓, หน้า ๘๕-๘๘)
การเตรียมตัวตาย
ในสภาวะจิตสุดท้ายของกระบวนการตาย
อันได้แก่ สภาวะจิตเดิมแท้อันประภัสสร ซึ่ง
เป็นสภาวะของแสงอันกระจ่างอย่างที่สุด
หากผู้ตายระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าการปฏิบัติที่ผ่านมาจะยังไม่ได้ให้ผลถึงขั้นบรรลุถึงความหลุดพ้น
ในสภาวะสุดท้ายของชีวิต ถ้าผู้ตายสามารถประครองจิตไว้อย่างดีก็มีโอกาสที่จิตจะบรรลุธรรมได้
ประเด็นนี้ชี้ให้ผู้ที่ฝึกฝนปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้หมั่นปฏิบัติอย่าได้ท้อถอย ถึงแม้ยังไม่ถึงความหลุดพ้นในระหว่างที่มีชีวิตช่วงจิตสุดท้ายก่อนตายยังมีโอกาส
การหมั่นทบทวนและใคร่ครวญความตายให้คล่องเมื่อประสบกับสภาวะความตายจริงจะสามารถประครองจิตให้ถึงความหลุดพ้นได้
หรือที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมภายหลังความตาย การละสังขารเป็นเพียงสภาวะหนึ่งของกระแสแห่งการสืบต่อ
อันหมายถึงดวงวิญญาณย้ายจากสัญญาหนึ่งไปสู่อีกสัญญาหนึ่ง การปฏิบัติธรรมต่อในระหว่างที่ตายและในทันทีภายหลังจากนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
ก่อนที่ความตายจะย่างก้าวมาถึง เราควรศึกษา ทำความเข้าใจและใคร่ครวญกระบวนการตายให้เคยชิน
เพื่อว่าจะสามารถรับมือกับสภาวะการตายที่จะปรากฏในแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง
ขณะที่พลังชีวิตของผู้ใกล้ตายออกจากร่าง จะมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น เป็นแสงที่พบในรายงานของประสบการณ์ใกล้ตายจำนวนมาก
ปรมาจารย์ชาวทิเบตสอนว่า ถ้าเราสามารถจดจำสภาวะนั้นได้และเข้าไปสู่แสงนั้น
เราก็จะหลุดพ้นจากการไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ
ดังนั้นผู้ที่ฝึกสมาธิจนแก่กล้าจะสามารถใช้ชั่วขณะอันสำคัญนี้ให้เกิดประโยชน์ได้
ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อย่างน้อยก็ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
ในคัมภีร์มรณศาสตร์
แจกแจงถึงประสบการณ์พื้นฐานที่คนเราประสบเมื่อตาย และชี้ให้เห็นถึงสัญญาณบอกทางที่จะนำไปสู่ภพภูมิต่าง
ๆ ขณะสิ้นใจ เราจะอยู่ในโลกที่มีแต่ภาพของความคำนึงราวกับอยู่ในความฝัน ผู้ที่รักษาความสงบไว้ได้อย่างเท่าทัน
จะสามารถแยกแยะประสบการณ์ต่าง ๆ ในระหว่างตายได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของจิตสำนึก
และย่อมผ่านพ้นประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏได้อย่างสง่างาม
จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดในกระบวนการสิ้นชีวิตจะเห็นว่าชั่วขณะสุดท้ายก่อนจิตดับเป็นชั่วขณะหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการไปจุติยังภพภูมิใหม่ที่เป็นสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ
หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเลยที่เดียว
จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พึงให้ความสำคัญต่อการใคร่ครวญความตายอย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยก็ทำให้ลดความยึดมั่นถือมั่นลงได้
และไม่ประมาทในการดำรงชีพเป็นประการที่หนึ่ง
ประการถัดมาคือการให้ความช่วยเหลือต่อผู้ใกล้ตายเพื่อให้สามารถเผชิญความตายอย่างมีสติและตายอย่างสงบ
ซึ่งผู้เขียนขอยกประเด็นทั้งสองมาแสดงดังต่อไปนี้
๑. มรณสติ ตายก่อนตาย
การเตรียมตัวตายที่ดีที่สุดคือ
การพิจารณาความตายในขณะที่ยังมีชีวิต ดังพุทธพจน์ที่ทรงเทศนาไว้ไนมหาปรินิพานสูตร ก่อนดับขันธ์ปรินิพพานว่า
ในบรรดารอยเท้าทั้งหลาย
รอยเท้าช้างนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด
ในบรรดาการเจริญสติทั้งหลาย
มรนานุสตินั้นประเสริฐสุด
มนุษย์พึงใคร่ครวญความตายอยู่ทุกขณะจิตเพื่อเตรียมมรณสติ
ให้ถึงพร้อมกับความตาย เรียกว่า ตายก่อนตาย หรือ ซ้อมตายนั่นเอง วิธีง่าย ๆ คือ
การจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องระลึกถึงความตาย เช่น
เมื่อเราเดินทางโดยเครื่องบิน ลองคิดว่า
หากการเดินทางครั้งนี้ต้องประสบเหตุเครื่องบินตก
และเราจะได้เดินทางเป็นครั้งสุดท้าย เราพร้อมที่จะตายหรือยัง มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ
และต้องทำอีกบ้าง หรือเมื่อเราได้ทราบข่าวคนที่รักถึงแก่ความตาย
เราจะเผชิญความจริงเหล่านั้นได้หรือไม่ เราลองใช้เหตุการณ์ดังกล่าว เตือนสติเราว่า
เราเองก็ต้องเผชิญกับความตายเหล่านั้นไม่เร็วก็ช้า
หรือเมื่อเราไปเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย
ที่กำลังทุกข์ทรมานกับอาการของโรค เราก็ลองจำลองเหตุการณ์ว่า
เราเองหากต้องเป็นเช่นนั้นเราจะสามารถประคองความคิด สติปัญญา
ต่อสู้กับอาการของโรคร้ายอย่างสงบได้อย่างไร
๒. การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใกล้ตายเพื่อการตายอย่างสงบ
นอกเหนือจากการดูแลสภาวะจิตของตนเองให้สามารถเผชิญภาวะสำคัญที่สุดในชีวิตอันได้แก่
สภาวะแห่งความตาย หรือภาวะจิตสุดท้ายแล้ว ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมหรือมีความรู้ในการฝึกจิตเพื่อก้าวสู่สภาวะความตายได้อย่างถูกต้องแล้ว
อาจนำความรู้ช่วยเหลือผู้ใกล้ตายที่ไม่มีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยผู้ตายให้สามารถเผชิญกับความทุกข์ในการเจ็บป่วย
หรือการก้าวสู่สภาวะใกล้ตายอย่างสงบ ซึ่งมีสภาวะต่าง ๆ ที่สามารถช่วยเหลือได้
ตั้งแต่ การรับฟังและแบ่งปัน เพื่อช่วยให้จิตใจของผู้ใกล้ตายคลี่คลาย
คิดได้ว่าความตายนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องลงเอยอย่างเลวร้ายเสมอไป การช่วยสะสางธุระต่าง ๆ
และพูดคุยเพื่อให้ผู้ใกล้ตายหมดความกังวลและการติดขัดในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
หรือมีความขุ่นมัวกับเรื่องราวที่ไม่ชอบใจอยู่ การชวนให้ผู้ใกล้ตายแผ่เมตตา
อโหสิกรรม ยอมรับ และกล่าวขอโทษทั้งต่อหน้า หรือการเขียนจดหมายไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใกล้ตายหมดความกังวลและการติดค้างได้ดี
นอกจากนี้ การน้อมนำจิตผู้ใกล้ตายไปสู่ความดีงาม นับเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้ใกล้ตาย
ตายอย่างมีคุณภาพ ตายแล้วไปสู่ภพภูมิที่ดี และทุกคนเข้าใจสัจธรรมของการมี
การเป็นมนุษย์ว่า ต่างมีความตายเป็นที่สุด ดั่งพุทวจนที่ว่า “แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใคร ๆ มันย่ำยีหมดทุกคน”
สรุป
ในสำนึกของคนทั่วๆไปเมื่อถึงคราวตายทุกคนต้องการตายอย่างไม่เจ็บปวด
ไม่ทุรนทุราย ไม่น่าเกลียด ไม่ถูกฆ่าตาย หรือตายโดยอุบัติเหตุ ที่เรียกว่าตายโหง ทุกคนปรารถนาที่จะตายอย่างอบอุ่นท่ามกลางคนที่รักและญาติมิตรพร้อมหน้าในสถานที่อันคุ้นเคย
ซึ่งเราคิดว่านี่คือการ”ตายดี” แต่ในความเป็นจริงการตายดีไม่เกี่ยวกับรูปรักษ์ของการตายแต่เกี่ยวโดยตรงกับสภาวะจิตขณะตายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
การศึกษาเรื่องความตายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ปรารถนาที่จะตายดี
คือตายแล้วไปอยู่ในภพภูมิที่ดี หรือบรรลุถึงความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
วัชรยานได้สื่อความหมายให้เห็นว่าการตายเป็นศิลปะที่พึงเรียนรู้และทำความเข้าใจ
หากว่าเข้าใจความตายอย่างถ่องแท้แล้วเราจึงรู้ว่าจะเตรียมตัวตายอย่างไร
หากวาระแห่งการตายมาถึง เพื่อให้ตายอย่างงดงาม
--------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
ชักดุด ตุลกู รินโปเช. (๒๕๕๐). สู่ความตายอย่างสงบ.
(แปลจาก Life in Relation to Death. โดยบุลยา).
กรุงเทพฯ:
มูลนิธิโกมลคีมทอง.
ทะไลลามะ. (๒๕๕๓). ชั่วขณะสุดท้ายแห่งชีวิต: คำอธิษฐานเพื่อการจากไปอย่างสุขสงบ และชีวิตที่ดีกว่า.
(พิมพ์ครั้งที่ ๒). (แปลจาก Advice on dying and living a better life. ถอดความเป็นภาษาอังกฤษโดย เจฟฟรี ฮ็อปกินส์. แปลเป็นภาษาไทยโดย ธารา
รินศานต์). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.
ปิยโสภณ.
(๒๕๕๖). ตายไม่มี. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๖). กรุงเทพมหานคร: วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก.
มานพ อุปสโม,
พระอาจารย์. (๒๕๕๑). ตีสนิทกับความตาย. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๐). กรุงเทพฯซ
ดีเอ็มจี.
รินโปเช, โซเกียล. (๒๕๕๔). ประตูสู่สภาวะใหม่. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). (แปลจาก The
Tibetan Book of Living
and Dying: คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตายและช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย โดย
พระไพศาล วิสาโล). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.
สุชีลา
แบล็คแมน. (๒๕๔๗). มรณกรรมที่งดงาม. (แปลจาก Graceful
Exits. โดย ธารา รินศานต์).
กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.
ส.ศิวรักษ์.
(๒๕๓๖). เตรียมตัวตายอย่างมีสติ. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นนทบุรี: ใจสบาย.
----------. (๒๕๔๒). พุทธตันตระ หรือ วัชรยาน. กรุงเทพฯ: ส่องศยาม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น